วิธีการบรรพชา อุปสมบทในฝ่ายพระภิกษุณีสงฆ์
๑) ครุธัมมปฏิคคหณูปสัมปทา วิธีนี้พระพุทธเจ้าทรงทำการบวชให้ด้วยการให้กุลธิดาผู้ประสงค์บวชรับครุธรรม ๘ ประการไปปฏิบัติ เป็นวิธีบวชภิกษุณีวิธีแรก และมีเพียงพระภิกษุณี ๒ รูปเท่านั้น ที่ปรากฏว่าพระพุทธเจ้าทรงประทานการบวชให้ด้วยวิธีนี้ คือ
๑. พระมหาปชาบดี
๒. พระยโสธรา (พระนางพิมพา)
วิธีบวชแบบนี้ มีวิธีปฏิบัติ คือ กุลธิดาผู้ประสงค์จะบวชได้ปลงผมและห่มผ้ากาสาวพัสตร์เรียบร้อยแล้วเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อทูลขอบวช พระพุทธเจ้าจะเสนอให้กุลธิดาผู้ประสงค์จะบวชรับครุธรรม ๘ ประการไปปฏิบัติ เมื่อกุลธิดาผู้ประสงค์จะบวชยอมรับว่าจะปฏิบัติครุธรรม ๘ ประการตามที่พระพุทธเจ้าเสนอ ก็เป็นอันว่าได้บวชเป็นพระภิกษุณีเรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ดีการบวชด้วยการรับครุธรรม ๘ ประการของพระมหาปชาบดีกับพระยโสธรามีจุดต่างกันตรงที่ พระมหาปชาบดีรับครุธรรมจากพระพุทธเจ้าผ่านทางพระอานนท์ ส่วนพระนางพิมพารับครุธรรมจากพระพุทธเจ้าโดยตรง แต่อย่างไรก็ตาม พระภิกษุณีทั้ง ๒ รูปนี้ ก็ถือได้ว่าบวชโดยมีพระพุทธเจ้าเป็นพระอุปัชฌาย์เหมือนกัน
๒) ติสรณคมนูปสัมปทา คือ วิธีบวชแบบให้กุลธิดาผู้จะบวชเปล่งวาจาขอถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ต่อพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง (วิธีนี้จะเหมือนกับการบรรพชาเป็นสามเณรของกุลบุตร)
วิธีบวชแบบนี้ มีวิธีปฏิบัติ คือ ผู้จะบวชได้ปลงผมและห่มผ้ากาสาวพัสตร์เรียบร้อยแล้วเข้าไปหาพระภิกษุ กราบเท้าแล้วประนมมือเปล่งวาจาขอถึง พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ๓ ครั้ง
วิธีบวชแบบนี้ สันนิษฐานว่า พระพุทธเจ้าได้ทรงอนุญาตให้พระภิกษุนำไปใช้บวชกับกุลธิดา ๒ กลุ่ม คือ
๑. บรรดาเจ้าหญิงศากยะผู้เป็นบริวารของพระมหาปชาบดี (อรรถกถาอธิบายว่า เจ้าหญิงศากยะเหล่านั้นมีจำนวน ๕๐๐ นาง)
๒. ผู้เป็นบริวารของพระยโสธรา (เจ้าหญิงศากยะ ผู้เป็นบริวารเหล่านั้นมีจำนวน ๒๕๐ นาง)
และสันนิษฐานว่า การบวชแบบนี้แม้จะเปล่งวาจาขอถึง พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ๓ ครั้ง แต่ก็น่าจะจบลงด้วยการที่พระภิกษุนั้นได้สอนให้บรรดาเจ้าหญิงศากยะผู้เป็นบริวารของพระมหาปชาบดี และผู้เป็นบริวารของพระยโสธรารับครุธรรม ๘ ประการไปปฏิบัติด้วย
เชื่อว่า โดยการบวชด้วยวิธีบวชแบบนี้ จึงทำให้พระภิกษุณีมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นพระภิกษุณีสงฆ์หมู่ใหญ่ มีจำนวนทั้งสิ้น ๗๕๒ รูป ซึ่งล้วนเป็นพระภิกษุณีจากชาวศากยะทั้งสิ้น คือ บวชด้วยการรับครุธรรม ๒ รูป และ บวชด้วยวิธีติสรณคมนูปสัมปทา ๗๕๐ รูป
๓) อฏฐวาจิกาอุปสัมปทา เมื่อเกิดมีพระภิกษุณีหมู่ใหญ่เกิดขึ้นด้วยวิธีการติสรณคมนูปสัมปทาแล้ว การบวชของภิกษุณีหลังจากนี้ทั้งหมดต้องบวชด้วยวิธีอฏฐวาจิกาอุปสัมปทา วิธีบวชแบบนี้มีวาจา ๘ คือ ทำญัตติจตุตถกัมมูปสัมปทา (การประกาศให้ทราบ ๔ ครั้ง) โดยให้ทำ ๒ ครั้ง คือ จากฝ่ายภิกษุณีสงฆ์ ๑ ครั้ง จากฝ่ายภิกษุสงฆ์อีก ๑ ครั้ง และการบวชวิธีนี้ก็ใช้บวชภิกษุณีสืบต่อกันมา
โดยถ้าเป็นการบวชของฝ่ายภิกษุสงฆ์ทำแค่ ญัตติจตุตถกัมมูปสัมปทา (การประกาศให้ทราบ ๔ ครั้ง) โดยให้ทำเพียง ๑ ครั้ง คือ จากฝ่ายภิกษุสงฆ์ฝ่ายเดียว การอุปสมบทเป็นอันสมบูรณ์ ซึ่งก็คือ วิธีอุปสมบทพระภิกษุที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ดีวิธีการบวชแบบอฏฐวาจิกาอุปสัมปทามีขั้นตอนดังต่อไปนี้
(๑) สอบถามอันตรายิกธรรมแก่กุลธิดาที่ออกบวช เดิมทีพระภิกษุเป็นฝ่ายถาม แต่เนื่องจากกุลธิดามีการขวยอายไม่สามารถตอบได้ ต่อมาภายหลังพระพุทธเจ้าทราบถึงความยากลำบากจึงให้พระภิกษุณีทำการสอบถามอันตรายิกธรรมแทนพระภิกษุ และเมื่อฝ่ายภิกษุณีทำการสอบถามอันตรายิกธรรมแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่ฝ่ายภิกษุสงฆ์จะต้องทำการสอบถามอันตรายิกธรรมแก่กุลธิดาที่ประสงค์จะออกบวชอีกครั้งหนึ่ง
(๒) การเปล่งคำขออุปสมบทแก่ฝ่ายภิกษุณีสงฆ์
(๓) ถามอันตรายิกธรรมในที่ประชุมพระภิกษุณีสงฆ์
(๔) ญัตติจตุตถกรรมวาจาในฝ่ายพระภิกษุณีสงฆ์
(๕) ขออุปสมบทในฝ่ายภิกษุสงฆ์
(๖) ญัตติจตุตถกรรมวาจาในฝ่ายพระภิกษุสงฆ์
(๗) บอกนิสัย ๓ และ อกรณียกิจ ๘
เมื่อครบ ๗ ขั้นตอนแล้ว การอุปสมบทเป็นพระภิกษุณีเป็นอันเสร็จสมบูรณ์
สำหรับนิสัย คือ สิ่งอาศัยที่จำเป็นสำหรับนักบวช สำหรับพระภิกษุณี มี ๓ สิ่ง คือ อาหารที่บิณฑบาตได้มา ๑ ผ้าบังสุกุลจีวร ๑ และ ยาดองด้วยน้ำมูตร (น้ำปัสสาวะ) อีก ๑
การที่ต้องบอกนิสัย ๓ ก็โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้พระภิกษุณีผู้บวชใหม่ได้ทราบว่านับตั้งแต่วันนี้ไป ความเป็นอยู่ของท่านจะเกี่ยวข้องกับสิ่งจำเป็น ๓ สิ่ง ดังกล่าวมาแล้ว
สำหรับอกรณียกิจ คือ ข้อห้ามไม่ให้นักบวช คือ พระภิกษุณีทำ ถ้าทำแล้วเข้าข่ายอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นภิกษุณีทันที มี ๘ ประการ คือ
๑. ห้ามมีเพศสัมพันธ์
๒. ห้ามถือเอาของที่เจ้าของไม่ได้ให้ด้วยอาการแห่งขโมย
๓. ห้ามฆ่าสัตว์
๔. ห้ามพูดอวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน
๕. ห้ามมีความกำหนัดยินดีในการลูบคลำจับต้อง
๖. ห้ามปกปิดอาบัติปาราชิกของพระภิกษุณีรูปอื่น
๗. ห้ามประพฤติตามพระภิกษุที่ถูกสงฆ์ขับออกจากพระธรรมมวินัย
๘. ห้ามแสดงความกำหนัดยินดีกับชายผู้มีความกำหนัดยินดีด้วยการจับมือ จับชายผ้า ยืนด้วยกัน สนทนาด้วยกัน อยู่ในที่มุงบัง และทอดกายแก่ชายนั้น
๔) ทูเตนอุปสัมปทา คือ วิธีบวชแบบผ่านทางทูต โดยให้พระภิกษุณีรูปใดรูปหนึ่งที่ฉลาดสามารถทำหน้าที่เป็นทูตรับเรื่องของผู้บวชจากฝ่ายภิกษุณีสงฆ์แล้ว ไปแจ้งขอบวชต่อฝ่ายพระภิกษุสงฆ์ โดยกุลธิดาผู้ขอบวชไม่จำเป็นต้องเดินทางไปเอง คือ ทำการบวชแบบอฏฐวาจิกาอุปสัมปทานั่นเอง แต่สำหรับขั้นตอนในฝ่ายพระภิกษุสงฆ์ให้ส่งพระภิกษุณีรูปใดรูปหนึ่งทำหน้าที่เป็นทูตไปแจ้งแก่ฝ่ายพระภิกษุแทนตัวผู้ขอบวชเอง
สำหรับวิธีนี้มีเพียงพระอัฑฒกาสี ชาวแคว้นกาสี เพียงรูปเดียวเท่านั้นที่ได้บวชด้วยวิธีบวชแบบนี้ เนื่องจากมีนักเลงคอยดักฉุดตัวพระอัฑฒกาสีผู้ซึ่งทำการบวชในฝ่ายภิกษุณีแล้วแต่เพียงฝ่ายเดียวแต่ไม่สามารถเดินทางไปทำการบวชในฝ่ายพระภิกษุสงฆ์ได้เนื่องจากเหตุผลดังกล่าว เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทราบเรื่องนี้ ท่านจึงอนุญาตให้พระพระอัฑฒกาสีทำการบวชด้วยวิธีการทูตได้ แต่มีข้อแม้ว่า ทูตนั้นต้องเป็นพระภิกษุณีเท่านั้น จะเป็นพระภิกษุ สิกขมานา สามเณร หรือ สามเณรี ไม่ได้เลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น